แนะนำเบื้องต้น เกม Free Fire
เกม Free Fire มีรูปแบบการเล่นแบบ Shooting Survival Battle Royale (หมายถึงการที่ให้ผู้เล่นลงในสนามแข่งเดีวกัน ในพื้นที่ที่จำกัด และให้ผู้เล่นแต่ละฝ่ายเข้าห้ำหั่นแบบตะลุมบอลโดยเน้นอาวุธประเภทยิง ผู้เล่นที่อยู่รอดเป็นคนสุดท้ายจะถือว่าเป็นผู้ชนะ พร้อมได้รับของรางวัลมากมาย) โดยผู้เล่นจะได้รับมุมมองการเล่นแบบบุคคลที่ 1 หากอ่านเพียงแนวคิดของเกมก็อาจจะดูเหมือนเล่นได้ง่าย ๆ สบาย ๆ ไม่ต้องคิดมาก แต่ เกม Free Fire นั้นเป็นเกมประเภท Game of Skills ขนานแท้ หมายถึงว่า การจะเล่นเกมนี้ให้ดีได้นั้นจะต้องฝึกฝนทักษะให้ชำนาญ ใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดเพื่อผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ต้องใช้ประสบการณ์และการวางแผน การวางกลยุทธ์ และแน่นอนการมีทีมเวิร์คที่จะช่วยให้ผู้เล่นไปถึงชัยชนะได้อย่างสง่างาม

เกม Free Fire
แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าเกมนี้จะไม่มีความเป็น Game of Chance เลยซะทีเดียว (Game of Chance หมายถึง เกมที่ต้องพึ่ง “ดวง” และการสุ่มบนพื้นฐานความไม่แน่นอนเป็นตัวกำหนดว่าเราจะชนะเกมนั้นได้หรือไม่ โดยปกติแล้วจะมีอุปกรณ์ที่เราพบเห็นได้บ่อย ๆ อาทิ ลูกเต๋า ลูกข่าง ไพ่ หรือรูเล็ตต์ ในหลาย ๆ ประเทศ Game of Chance ถือว่าเป็นการพนัน หากผู้เล่นวางเดิมพันด้วยตัวเงิน หรือสิ่งที่มีมูลค่าทางการเงิน) เพราะในบางครั้งเกม Free Fire มีเหตุการณ์หรือกิจกรรมบางอย่าง ที่ตัวผู้เล่นเองก็ไม่สามารถควบคุมได้และต้องพึ่งดวงล้วน ๆ อาทิ การได้พบเจอตัวละครพิเศษ การได้รับอุปกรณ์เสริมภายในเกมแบบสุ่มนั่นเอง

โหมดเกม Free Fire
เกม Free Fire นั้นมีโหมดการเล่นที่หลากหลาย เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของผู้เล่นทุกคน โดยปัจจุบันมีโหมดเกมให้เลือกถึง 8 โหมดด้วยกัน มาเริ่มไล่ไปทีละโหมดกันเลยดีกว่า (โหมดเรียงตามชื่อตัวอักษรภาษาอังกฤษนะ ไม่ได้เรียงตามความนิยม)
โหมดเกม Free Fire : B
Battle Royale Mode - โหมดพื้นฐานของตัว เกม Free Fire ที่เรียกว่าเป็นโหมดคลาสสิคของเกมประเภทนี้เลยก็ว่าได้ และเป็นโหมดแรกที่ผู้เล่นใหม่ทุกคนจะต้องเล่นก่อนที่จะได้ไปเล่นโหมดอื่น ๆ ในโหมดนี้สามารถเล่นแบบคนเดียว (Solo Player) เล่นเป็นคู่ (Dual Players) หรือจะเล่นแบบเป็นทีม (Squad)ก็ได้นะ ซึ่งโหมดนี้ก็จะคล้าย ๆ กับโหมดจัดอันดับน (Ranked mode) แตกต่างกันตรงนี้ โหมดนี้จะไม่ได้แต้มในการจัดอันดับเท่านั้น ซึ่งการไม่ได้แต้มก็หมายความรวมไปถึงว่าเราจะไม่เสียแต้มด้วย โดยผู้เล่นจะต้องเข้าฟาดฟันกับผู้เล่นอีก 50 คนที่เหลือเพื่อชนะเกมในรอบนั้นให้ได้
แผนที่สำหรับโหมดนี้ประกอบด้วย : เบอร์มูดา, เบอร์มูดา เวอร์ชั่นปรับปรุง, อัลไพน์, คาลาฮาริ และ เพอร์แกทอรี่
Bomb Squad Mode - โหมดนี้จะเป็นการจับคู่ทีมสองทีมแบบสุ่มให้มาปะทะกัน โดยทั้งสองทีมจะเกิดที่จุดใดจุดหนึ่งในแผนที่นั้น ๆ หน้าที่หลักแบ่งออกอย่างชัดเจน ทีมฝั่งหนึ่งจะเป็นฝ่ายที่คอยโจมตีอีกฝ่าย ในขณะที่อีกฝ่ายจะต้องป้องกันจากการโจมตีนั้นให้ได้ ในเกม 1 ตานั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 7 รอบย่อย ซึ่งฝ่ายไหนมีจำนวนรอบที่ชนะเยอะกว่าก็ชนะไป ง่ายใช่ไหมหล่ะ

โหมดเกม Free Fire : C
Clash Mode - เป็นโหมดเกมที่อยู่แบบถาวรใน เกม Free Fire (ในบางโหมดนั้นจะเป็นโหมดที่ถูกสร้างขึ้นมาเฉพาะกิจกรรมบางช่วงเวลา พอพ้นระยะเวลาดังกล่าว โหมดนั้นจะไม่สามารถเข้าเล่นได้อีก) หลักการเล่นของโหมดนี้นั้นเข้าใจได้ง่าย โดยเป็นการปะทะกันของ 2 ทีมเช่นเดียวกับ Bomb Squad Mode แต่ต่างกันที่ทั้งสองต้องฟาดฟันกันจนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดไป โดยในหนึ่งทีมจะประกอบไปด้วยผู้เล่น 4 คน
แผนที่สำหรับโหมดนี้ประกอบด้วย : เบอร์มูดา, เบอร์มูดา เวอร์ชั่นปรับปรุง, อัลไพน์, คาลาฮาริ และ เพอร์แกทอรี่
Clash Squad Ranked Mode - หลักการการเล่นคล้าย ๆ กับ Clash Mode ปกติ แต่จะมีเรื่องการจัดอันดับเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยผู้เล่นทุกคนจะเริ่มต้นที่ระดับทองเหลืองหนึ่ง (ฺBronze I) เลื่อนขั้นไปเรื่อย ๆ จนถึงระดับวีรชนคนกล้า (Heroic) ระบบการเลื่อนขั้นจะนับเป็นระบบดาว ซึ่งจะได้เริ่มก็ต่อเมื่อคุณชนะเกมเท่าเท่านั้น
เกม Free Fire ได้เพิ่มความท้าทายเข้าไปอีกนิดหน่อยเพื่อให้ผู้เล่นรู้สึกสนุกมาขึ้น โดยในแต่ระดับจะมีระดับย่อย ๆ ประกอบอยู่ในแต่ละระดับ ซึ่งการจะเลื่อนขั้นในระดับทองเหลือง (Bronze) ได้ จะต้องใช้ดาว 3 ดวง ในระดับเงิน (Silver) ต้องใช้ 4 ดาว และเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนผู้เล่นถึงระดับ “วีรชนคนกล้า” (Heroic) มันคงจะน่าเบื่อแย่ถ้าเราชนะต่อเนื่องแต่กลับไม่ได้รางวัลพิเศษเลย ทางเกมเลยมอบดาวพิเศษให้อีก 1 ดวง สำหรับผู้ที่สามารถชนะ 3 รอบติดกันได้
แผนที่สำหรับโหมดนี้ประกอบด้วย : เบอร์มูดา, เบอร์มูดา เวอร์ชั่นปรับปรุง, คาลาฮาริ และ เพอร์แกทอรี่

โหมดเกม Free Fire : L
Lone wolf : 1 vs 1 Mode - โหมดหมาป่าเดียวดาย จะเป็นโหมดที่ให้คุณได้ฉายเดี่ยว เพื่อโชว์ฝีมืออันยอดเยี่ยมของคุณ ไม่มีกฎเกณฑ์กำหนด ไม่ต้องสนใจเรื่องเงิน ไม่ต้องสนใจเรื่องพื้นที่เก็บของในกระเป๋าไม่พอ ไม่ต้องสนใจเรื่องเวลา ผู้เล่นสามารถเลือกอาวุธที่ตัวเองถนัดที่สุดและเข้าสู้กับคู่แข่งได้เลย เรียกได้ว่าเป็นเกมที่ยุติธรรมสุด ๆ ไปเลย
โหมดเกม Free Fire : P
Pet Mania - เป็นโหมดพิเศษที่เปิดให้เล่นเฉพาะบางช่วงเวลาเท่านั้น โดยผู้เล่นจะได้ผจญภัยไปกับสัตว์เลี้ยงสุดน่ารักเพื่อหลบสิ่งกีดขวางต่าง ๆ เพื่อไปให้ถึงเล้นชัยให้ได้เร็วที่สุด และไม่ต้องกังวลไป ต่อให้คุณไม่มีสัตว์เลี้ยง คุณก็สามารถเข้าเล่นโหมดนี้ได้

กติกาการเล่น เกม Free Fire
- ผู้เล่นต้องเอาชนะสิ่งกีดขวางในเลของตัวเองให้ได้ ในระหว่างนั้นจะมีภารกิจเล็ก ๆ ให้ทำด้วยนะ
- ได้คะแนนเมื่อชนะในระดับต่าง ๆ
- ผู้เล่นที่ได้คะแนนสูงสุดชนะไป
เงื่อนไข ผู้เล่นขั้นต่ำ 20 คนในหนึ่งรอบ
โหมดเกม Free Fire : R
Ranked Mode - ในโหมดนี้ผู้เล่นจะได้รับหรือเสียสิ่งที่เรียกว่าคะแนนแรงค์ หรือ RP (Ranked Point) โดยขึ้นอยู่กับผลงานที่ทำได้ในเกม ความพิเศษอของโหมดนี้อยู่ตรงที่ เพื่อจบการนับรอบของซีซั่นนั้น ๆ ผู้เล่นจะได้ของรางวัลตามระดับแรงค์ที่ตนอยู่ ยิ่งสูงก็ยิ่งได้ของดี ๆ ของเทพ ๆ และหลังจากนั้นระดับของผู้เล่นก็จะกลับไปยังระดับเริ่มต้นอีกครั้ง เพื่อไต่ระดับใหม่ในซีซั่นถัดไป
Red Light, Green Light Mode - โหมดไฟเขียว ไฟแดงคือะไรกันนะ โหมดนี้เป็นโหมดใหม่ที่เกม Free Fire ร่วมมือกับซีรี่ส์สัญชาติเกาหลีชื่อดังจาก Netflix เรื่อง “Squid Game” โดยที่ผู้เล่นจะถูกโยนใส่ลงไปในกรง ซึ่งจะสามารถขยับได้ก็ต่อเมื่อได้รับสัญญานไฟเขียวเท่านั้น หากไฟสีแดงปรากฎขึ้นมาแล้วผู้เล่นยังขยับตัวอยู่ก็จะถูกกำจัดออกจากเกมทันที เป็นโหมดเกมที่โหดมากเลย
เป็นอย่างไรกันบ้างกับข้อมูลที่เราได้รวบรวมมาให้ในวันนี้ หวังว่าทุกคนจะรู้จักและเข้าใจโหมดเกมต่าง ๆ ใน เกม Free Fire กันมากขึ้น อ่านเสร็จแล้วก็อย่าลืมไปลองเล่นโหมดต่าง ๆ กันดูนะคะ
อ่านบทความเกี่ยวกับ PGSLOT อื่น ๆ เพิ่มเติม